เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตครอบครัวอย่างไร
ยุคปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในแวดวงครอบครัว ซึ่งเทคโนโลยีมีทั้งผลดีและผลเสียที่ส่งผลกระทบอย่างมากดังนี้
ผลกระทบเชิงบวกของเทคโนโลยีต่อชีวิตครอบครัว
- ช่วยให้สื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้ถ้าสมาชิกในครอบครัวต้องพลัดพรากจากกันไปทำงานหรือเรียนหนังสือที่ไกล การติดต่อจะค่อนข้างลำบาก แต่ปัจจุบันมีสมาร์ทโฟน วิดีโอคอล และสื่อสังคมออนไลน์ช่วยให้พูดคุยปรึกษาหารือ แชร์รูปและคลิปวิดีโอได้อย่างสะดวกรวดเร็วทันใจ
- มีบริการและแอปพลิเคชันช่วยจัดการชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนรายการอาหาร ตารางงาน แจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆ บันทึกค่าใช้จ่ายรายรับรายจ่าย ช่วยประหยัดเวลาและลดภาระงานบ้านไม่น้อย
- มีความบันเทิงออนไลน์มากมายที่ครอบครัวสามารถรับชมร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ เกม ดนตรี รวมถึงการเล่นเกมและแชร์คลิปวิดีโอกันผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์และเพิ่มคุณภาพเวลาอยู่ร่วมกัน
ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยีต่อชีวิตครอบครัว - ก่อให้เกิดความเหินห่างระหว่างสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากทุกคนหลงใหลมัวแต่เล่นโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ขาดการสื่อสารแบบเผชิญหน้า สายตา จึงทำให้พลาดโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
- ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและเด็กที่อาจประสบปัญหาซึมเศร้า นอนไม่หลับ หรือแม้กระทั่งภาวะเสพติดอินเทอร์เน็ตและเกม อันเนื่องมาจากใช้เวลากับโลกออนไลน์มากเกินไป จนกระทบกับการเรียนและความสัมพันธ์กับผู้อื่น
- เป็นต้นเหตุของปัญหาและความขัดแย้งภายในครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เวลากับอุปกรณ์อย่างไม่พอดี ทั้งการโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หมกมุ่นอยู่กับโลกเสมือนจนละเลยบทบาทหน้าที่ ครอบครัวจึงเกิดการปะทะและทะเลาะวิวาทกันบ่อยครั้ง
เคล็ดลับในการจัดการอิทธิพลของเทคโนโลยีในครอบครัว
- กำหนดเวลาปิดการใช้งานสื่อดิจิทัลอย่างเคร่งครัด โดยอาจกำหนดช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนนอนเป็นเวลาห้ามใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ และควรมีช่วงเวลาอยู่ร่วมกันแบบปิดอุปกรณ์สักวันหนึ่งต่อสัปดาห์
- จัดสรรเวลาสำหรับกิจกรรมครอบครัวแบบดั้งเดิมอย่างสม่ำเสมอ เช่น ร่วมรับประทานอาหารเช้า/เย็น ทำงานบ้านร่วมกัน เล่นกีฬา ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่สาธารณะ หรือร่วมทำกิจกรรมงานอดิเรกต่างๆ เพื่อสร้างความผูกพัน สนุกสนาน ได้ใกล้ชิดและแลกเปลี่ยนกัน
- เรียนรู้ที่จะหาความสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลกับชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่หลงใหลจนลืมสิ่งสำคัญที่แท้จริง รู้จักตั้งขอบเขตในการใช้งาน อาจกำหนดระยะเวลาสูงสุดในการใช้สื่อดิจิทัลต่อวันไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง นอกจากนั้นก็ท้าทายตัวเองด้วยการมีวันหยุดพักจากการใช้โซเชียลมีเดียสักสัปดาห์หนึ่ง เพื่อให้ได้กลับมามีเวลาอยู่กับครอบครัวและทำกิจกรรมอื่นๆอย่างเต็มที่
- สร้างข้อตกลงร่วมกันในการใช้งานเทคโนโลยีสำหรับทุกคนในบ้าน อาจร่างเป็นกฎระเบียบขึ้นมาให้ทุกคนปฏิบัติตาม เช่น ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ควรได้รับอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์นานเกินกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน วัยรุ่นต้องส่งคืนโทรศัพท์มือถือเมื่อเข้านอน ส่วนผู้ใหญ่ต้องไม่ใช้เวลากับโลกออนไลน์จนละเลยบทบาทหน้าที่ เป็นต้น การตั้งข้อตกลงร่วมกันนี้จะช่วยให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและเคารพกฎกติกา
- ผู้ปกครองต้องแสดงบทบาทเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีด้วย มิฉะนั้นคำสั่งสอนจะไม่มีประสิทธิภาพ โดยพยายามชี้แนะและสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกๆ เห็นคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวมากกว่าการนั่งจ้องหน้าจอ รวมถึงเล่นด้วย ทำกิจกรรมร่วมกันมากๆ เพื่อเน้นย้ำผลดีของการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับครอบครัว
สรุปได้ว่า เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์แต่ก็อาจส่งผลเสียหากใช้งานอย่างไม่ระมัดระวัง การสร้างสมดุลที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการมีข้อตกลง แบ่งเวลา และกิจกรรมสำหรับครอบครัวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เทคโนโลยีเป็นพลังเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างแท้จริง